การคุ้มครองผู้เสียหายเด็กกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
โดย พ.ต.อ.หญิง
วิชาสิทธิ สีหตุลานนท์
(บทคัดย่อ) การคุ้มครองสิทธิเด็กปัจจุบัน มีกฎหมายบัญญัติ
รองรับเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ที่บัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค
สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน
เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 บัญญัติเกี่ยวกับการดำเนินการทางยุติธรรมทางอาญาของเด็กและเยาวชนโดยมุ่งเน้นการค้นหาความจริงจากการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน และคุ้มครอง
บำบัดแก้ไข ฟื้นฟู เด็กและเยาวชนผู้กระทำความผิดให้กลับคืนสู่สังคมได้ โดยมีองค์กรต่าง ๆ เข้ามาร่วมดำเนินการ เริ่มตั้งแต่พนักงานตำรวจ อัยการ
ศาล สถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ตลอดจนสหวิชาชีพต่าง ๆ แต่ในทางกลับกันผู้เสียหายที่เป็นเด็กและเยาวชน กลับไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างจริงจัง ทั้ง
ๆ
ที่เป็นผู้เสียหายทางอาญาด้านร่างกาย
จิตใจ
รวมทั้งอาจเสียหายทางสังคมอีกด้วย กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเริ่มตั้งแต่พนักงานตำรวจ พนักงานอัยการ
ศาล ก็มุ่งค้นหาความจริงจากผู้เสียหายเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิด ในบางความผิด
เช่น ความผิดเกี่ยวกับเพศ ยาเสพติด
การสอบปากคำ
การสอบสวนการดำเนินการของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจะเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดทางจิตใจ ทำร้ายเด็กและเยาวชนซ้ำสอง
หรือให้ความเป็นธรรมโดยการค้นหาความผิดทางพยานหลักฐาน ดังนั้น
จึงควรที่จะมีการพิจารณาการดำเนินการของกระบวนการยุติธรรมทางอาญากับผู้เสียหายที่เป็นเด็กและเยาวชนให้ได้รับความเป็นธรรม คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2550
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
พ.ศ. 2550 นับว่ามีความสำคัญยิ่ง
เพราะมีบทบัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค
สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะการคุ้มครองสิทธิเด็ก
ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
ในการกระทำทั้งปวงที่เกี่ยวกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันสังคมสงเคราะห์
หรือของเอกชน ศาลยุติธรรม ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายนิติบัญญัติ ให้ยึดถือว่า
ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นลำดับแรก[1]
เด็กถือว่ามีความสำคัญต่อสังคม
มีผลต่อการพัฒนาประเทศ เพราะเด็กจะเป็นผู้สืบต่อซึ่งเผ่าพันธุ์ เชื้อสาย
และสังคมมนุษย์ โดยสังคมมนุษย์ต้องมีสังคม
วัฒนธรรม
การพัฒนาและเศรษฐกิจ
ประเทศไทยได้เห็นถึงความสำคัญของเด็กที่มีต่อสังคมไว้
อย่างชัดเจนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ( 2550-2554 ) กำหนดพื้นฐานการเสริมสร้างคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา
จึงต้องมีการพัฒนาคุณภาพคนทุกมิติอย่างสมดุลทั้งทางจิตและร่างกาย ความรู้
ความสามารถ บทที่ 2 ข้อ 3 กำหนดแนวทางการพัฒนาให้เด็กและเยาวชนมีจิตสำนึกที่ดีงามอยู่ในกรอบของศีลธรรม มีจิตสำนึกสาธารณะ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ( 2555 - 2559) บทที่ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างยั่งยืน ข้อ 5 แนวทางการพัฒนาเตรียมคนให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับโลกและภูมิภาค
โดยเฉพาะในประชาคมอาเซียน ดังนั้น ช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11
จึงมุ่งเน้นการพัฒนาคนทุกช่วงวัยให้เข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน
ในศตวรรษที่
2-3 สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งความเจริญทางด้านสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommumication ) ทุกประเทศทั่วโลกมีการแข่งขันกัน
ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เข้าสู่สภาวะแห่งการเปลี่ยนแปลงอันเป็นต้นเหตุให้เกิดสภาพการแข่งขันกันทุก
ๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง จึงทำให้เกิดช่องว่างขึ้นในระหว่างชนชั้นคนจนกับคนรวย
ผลที่ตามมา คือปัญหาสังคม และปัญหาครอบครัว ความยากจนของคนในชนบท
และความแออัดของคนในเมือง ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ปัญหาการว่างงานมีมากขึ้น
เป็นเหตุให้เกิดความเครียดในครอบครัว ก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวแตกแยก การก่ออาชญากรรมมีมากขึ้น เมื่อสังคมครอบครัวล่มสลาย
ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กและเยาวชน
ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเด็กจึงมีปริมาณมากขึ้น ทั้งด้านปริมาณและความรุนแรง
เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ (sexual abuse)
เด็กถูกทำร้าย ( Abused) ไม่ว่าทางร่างกาย (Physical Abuse) ทางจิตใจ (Emotional) ก็เพิ่มขึ้น นอกจากเด็กจะเป็นผู้ก่ออาชญากรรมเองแล้ว
เด็กก็ยังถูกกระทำมากขึ้น ถ้าไม่มีนโยบายคุ้มครองเด็กที่เหมาะสมและจริงจัง
ก็จะเปรียบเสมือนรัฐเป็นผู้กระทำซ้ำแก่เด็ก
อันส่งผลให้ประเทศชาติไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง
องค์การสหประชาชาติได้ประกาศอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
(Convention
on the Right of the Child –C.R.C) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2532
และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2533
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กมีหลักการสำคัญว่าเด็กทุกคนมีสิทธิต่าง ๆ
ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และประเทศสมาชิกของอนุสัญญาฉบับนี้ต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ
เพื่อให้การปกป้องคุ้มครอง
และส่งเสริมการใช้สิทธิของเด็กอย่างเต็มที่
ปัจจุบันมีประเทศต่าง
ๆ เข้าร่วมเป็นสมาชิกจำนวน 195 ประเทศ คงมีเพียง 2
ประเทศเท่านั้นที่ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีสมาชิก คือ ประเทศโซมาเลีย และสหรัฐอเมริกา
ในส่วนของประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกเมื่อวันที่ 27
มีนาคม 2535 โดยมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2535 เป็นต้นมา
สิทธิเด็กเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน
แต่เด็กเป็นกลุ่มชนที่ต้องการการปกป้องคุ้มครองมากกว่าคนทั่วไป
เนื่องจากความสามารถ สภาวะทางร่างกาย และสติปัญญาของเด็กไม่เท่าเทียมกับผู้ใหญ่
จึงต้องได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษเพื่อให้พัฒนาการและการเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าต่อสังคม
ในประชาคมระหว่างประเทศเห็นความสำคัญในการปกป้องคุ้มครองสิทธิเด็กเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2467
องค์การสันนิบาตชาติได้ประกาศปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก หรือที่เรียกว่า
ปฏิญญาเจนีวา (
Declaration of Geneva 1924)
เมื่อมีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติได้มีการประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
( the
Universal Declaration of Human
Rights )
เมื่อปี พ.ศ. 2491 ต่อมาในปี พ.ศ. 2502 องค์การสหประชาชาติได้พัฒนาและประกาศปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
(the United Nations
Declaration on the Right of the Child 1959) แต่ไม่มีผลผูกพันกฎหมายระหว่างประเทศ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 สหประชาชาติจึงได้พัฒนาการคุ้มครองเด็กให้เป็นกฎหมายระหว่างประเทศในรูปแบบของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Right of the Child 1989 )[2]
ปัจจุบันถือว่าอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่มีความสำคัญยิ่งในการกำหนดมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิเด็ก
ซึ่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก มีหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ
1)
มุ่งที่จะปกป้องคุ้มครองเด็ก ( Protection)
จากภยันตรายต่าง ๆ
2)
ให้โอกาสแก่เด็กที่จะมีส่วนร่วม (Participation)
ในการแก้ปัญหาของพวกเขาในทุก ๆ
เรื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสที่เด็กจะมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางตุลาการและทางการปกครอง
ในลักษณะที่สอดคล้องกับระเบียบปฏิบัติของกฎหมาย
3)
ให้โอกาสเด็กได้รับการพัฒนา (Progress and Development) บุคลิกภาพอย่างเต็มที่
ในบรรยากาศแห่งความรักและความเข้าใจ
การคุ้มครองเด็กจึงเป็นเรื่องสำคัญในการรับประกันอนาคตที่รุ่งเรืองของชาติ
หากปล่อยให้เด็กถูกทำร้ายด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะกระทำโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม
ซึ่งต่อไปจะเป็นเหตุให้รัฐขาดกำลังสำคัญเพื่อดูแลสังคม
มาตรฐานการคุ้มครองเด็ก
คือ มาตรการทางกฎหมายซึ่งต้องพิจารณาควบคู่กับวิธีการปฏิบัติที่เป็นอยู่
และโดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ได้เน้นเรื่องการคุ้มครองสิทธิของบุคคลรวมทั้งสิทธิเด็กด้วย ได้แก่ “ เด็กและเยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการหรือทุพพลภาพ
ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองในกรดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม และย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดีเกี่ยวกับความทารุณทางเพศ” [3]
ปัจจุบัน จะพบเสมอว่าเด็กและเยาวชนจะก่อปัญหาอาชญากรรมขึ้นอยู่บ่อย
ๆ และจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เริ่มตั้งแต่ตำรวจ อัยการ
ศาล ราชทัณฑ์ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กหรือเยาวชน องค์กรต่าง ๆ นี้จะมุ่งเน้นการคุ้มครอง
การบำบัดแก้ไขฟื้นฟูแก่เด็กและเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำผิด โดยมีการแก้ไข
เพิ่มเติม คิดวิเคราะห์
ทั้งด้านบทบัญญัติกฎหมาย กำหนดให้มีหน่วยงานต่าง ๆ
มาดูแล มากกว่าการลงโทษดังเห็นได้จากการแก้ไขพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2555 ได้มีการบัญญัติมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา[4]
ไว้เพื่อแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิด ให้กลับคืนสู่สังคมได้ดี
แต่ในทางกลับกันการให้ความคุ้มครองผู้เสียหายเด็กในคดีอาญา
เกิดจากปัญหาอาชญากรรมที่ได้กระทำต่อเด็กโดยเฉพาะการทารุณทางร่างกาย ทางจิตใจ ความผิดเกี่ยวกับเพศ
และยาเสพติด ในบางความผิดอาญา เช่น ความผิดเกี่ยวกับเพศ และยาเสพติด
อาจกระทำในรูปขององค์กรอาชญากรรมและมีลักษณะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ
การที่จะสอบสวนเด็กเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน หรือการค้นหาความจริง
จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก และมีอุปสรรค มีการข่มขู่เด็ก ทำให้เด็กหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะให้ถ้อยคำ จึงเป็นปัญหาทำให้เด็กซึ่งเป็นผู้เสียหายไม่กล้าที่จะให้การสอบปากคำ
หรือการสอบสวนอย่างถูกต้องเพื่อได้รับความเป็นธรรม หากกระบวนการยุติธรรมยังไม่ได้ให้ความคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพ
กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยในอดีตที่ผ่านมา ได้ให้ความสำคัญต่อ
การปฏิบัติต่อเด็กหรือเยาวชนที่เป็นผู้กระทำความผิด
โดยมีหลักการคุ้มครองมุ่งเน้นการแก้ไขฟื้นฟูเฉพาะเด็กหรือเยาวชนที่เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด
กระบวนการที่จะค้นหาความจริงและการใช้มาตรการทางอาญามีหลักในการให้ความคุ้มครองมิให้ได้รับผลกระทบต่อชื่อเสียงและจิตใจในระหว่างที่มีการดำเนินคดีอาญา กฎหมายของไทยประกอบด้วยองค์กรหลัก คือ ตำรวจ
อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ สถานพินิจและคุ้มครองเด็กหรือเยาวชน
มักจะมุ่งเน้นเฉพาะการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อใช้ในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหา
หรือจำเลยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
นอกจากนี้หากผู้กระทำความผิดเป็นเด็กและเยาวชนก็ยังมีกฎหมายปกป้องให้ความคุ้มครองเป็นการเฉพาะตัวอีก
เช่น การคุ้มครองมิให้ผู้ใดบันทึกภาพ
แพร่ภาพ พิมพ์รูป หรือบันทึกเสียง แพร่เสียงของเด็กหรือเยาวชน ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด
หรือโฆษณาข้อความที่ปรากฏในการสอบสวนของพนักงานสอบสวน
หรือในทางการพิจารณาคดีของศาลที่อาจทำให้บุคคลอื่นรู้จักตัว ชื่อตัว
ชื่อสกุลของเด็ก หรือเยาวชนนั้น หรือโฆษณาข้อความเปิดเผยประวัติการกระทำความผิด
หรือสถานที่อยู่ สถานที่ทำงาน หรือสถานที่ศึกษาของเด็กหรือเยาวชนนั้น นอกจากนี้ยังมีมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา
โดยการทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู[5] แต่ในกระบวนการ
ยุติธรรมของไทยเราได้ละเลยการให้ความคุ้มครองต่อผู้เสียหายหรือพยานซึ่งเป็นเด็กในคดีอาญามานาน
ถึงแม้ว่าปัจจุบันได้มีการบัญญัติกฎหมายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการถามปากคำผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี
ให้พนักงานสอบสวนแยกกระทำในที่เหมาะสม ประกอบกับให้มีสหวิชาชีพได้แก่ พนักงานสอบสวน
พนักงานอัยการ นักสังคมสงเคราะห์
หรือนักจิตวิทยาเข้าร่วมในการสอบปากคำด้วย[6] เด็กเหล่านี้อาจได้รับความเสียหายต่อจิตใจหรือชื่อเสียง
อันเกิดจากกระบวนการการดำเนินคดีอาญาที่มุ่งเน้นการค้นหาความจริงได้ให้ความคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาเท่านั้น
แต่สภาพจิตใจของผู้เสียหายเด็กไม่ได้แตกต่างจากเด็กที่เป็นผู้ต้องหา
โดยเฉพาะในความผิดเกี่ยวกับเพศ สภาพจิตใจของเด็กเหล่านี้จะต้องได้รับการดูแล คุ้มครองมากกว่าในกรณีอื่น
ๆ หากมีการดำเนินการทางกระบวนการยุติธรรมเหมือนคดีอาญาทั่วไป ๆ
เริ่มตั้งแต่การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมผู้เสียหายต้องเปิดเผยเรื่องทั้งหมด รายละเอียดของการกระทำต่าง ๆ
ต่อหน้าพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ นักสังคมสงเคราะห์ หรือนักจิตวิทยา เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่นี้อาจเป็นผู้ชาย
เมื่อกระบวนการดำเนินการถึงชั้นศาล ผู้เสียหายอาจต้องเบิกความซ้ำอีก
เด็กเหล่านี้จะได้รับผลกระทบต่อจิตใจมากขึ้น
เท่ากับว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้ซ้ำเติมความเสียหายและความเจ็บปวดให้แก่ผู้เสียหายเด็ก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสอบสวนเพื่อรวบรวบพยานหลักฐาน
เพื่อให้ได้ความชัดเจนทั้งในข้อเท็จจริง
การใช้ภาษาสื่อความหมาย การใช้คำถามที่มีลักษณะเป็นภาษากฎหมาย
รายละเอียดเหตุการณ์ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ย่อมกระทบต่อการตอบคำถามของผู้เสียหายเด็กทั้งสิ้น
เมื่อพิจารณาการคุ้มครองผู้เสียหายจากสื่อต่าง
ๆ ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าผู้เสียหายเด็กและเยาวชนจะถูกสื่อต่าง
ๆ เผยแพร่สู่สาธารณเสมอ แม้ครั้งอาจมีเพียงภาพที่เลือนลาง หรือการปิดหน้าบางส่วนเท่านั้น มีการสัมภาษณ์ การเล่าเหตุการณ์ ทำให้ สาธารณชนอาจรู้จัก จำได้ รู้ชื่อตัว ประวัติของเด็กและเยาวชนในฐานะเป็นผู้เสียหาย
กรณีดังกล่าวนี้จะเป็นการซ้ำเติม
หรือตอกย้ำความเจ็บปวดของผู้เสียหายซ้ำสองหรือไม่ เพราะ กระบวนการยุติธรรมมุ่งคุ้มครองผู้ต้องหาเด็กหรือเยาวชนมิให้ผู้ใดบันทึกภาพ
แพร่ภาพ พิมพ์รูป หรือบันทึกเสียง แพร่เสียงของเด็กหรือเยาวชนซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิด
หรือโฆษณาข้อความซึ่งปรากฏในการสอบสวนของพนักงานสอบสวน
หรือในทางการพิจารณาคดีของศาลที่อาจทำให้บุคคลอื่นรู้จักตัว ชื่อตัว
ชื่อสกุลของเด็ก หรือเยาวชนนั้น หรือโฆษณาข้อความเปิดเผยประวัติการกระทำความผิด
หรือสถานที่อยู่ สถานที่ทำงาน หรือสถานที่ศึกษาของเด็กหรือเยาวชนนั้น ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. 2553
มาตรา 130 ที่บัญญัติคุ้มครองเฉพาะผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชน เท่านั้น
บทสรุป กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยควรที่จะมุ่งเน้นการคุ้มครองผู้เสียหายที่เป็นเด็กและเยาวชนให้เท่าเทียมกับผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชนเริ่มตั่งแต่กระบวนการการสอบปากคำ การสอบสวน การถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ การพิจารณาคดี
การบำบัดแก้ไขฟื้นฟู ตลอดจนการได้รับการเยียวยาจากหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรต่าง ๆ ที่มุ่งคุ้มครองเด็กเป็นกรณีพิเศษ
จากบทสรุป
เพื่อให้การคุ้มครองผู้เสียหายเด็กในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาได้รับความคุ้มครองอย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ
สอดคล้องกับหลักกฎหมายที่เจตนาคุ้มครองเด็กและเยาวชนทกคนโดยเสมอภาค จึงเห็นควรดำเนินการ ดังนี้
สำนักงานอัยการสูงสุด
ควรกำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการอย่างชัดเจน
โดยกำหนดให้พนักงานอัยการเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนคดีที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน
โดยการออกระเบียบปฏิบัติให้ชัดเจน
เพราะหากพนักงานอัยการมีบทบาทในการสอบสวน
รวบรวมพยานหลักฐาน ก็จะเป็นผู้ทราบว่าสำนวนคดีนั้นสมบูรณ์เรียบร้อย
สมควรพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ จะไม่มีอำนาจในการสั่งสอบเพิ่มเติมตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้ไว้ เพราะเป็นผู้สอบสวนตั้งแต่เริ่มแรก
ไม่เกิดความซ้ำซ้อน ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 133 ทวิ
ให้มีนักจิติทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์เข้าร่วมในการถามปากคำผู้เสียหายเด็ก
ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
เนื่องจากปัญหาและอุปสรรคความไม่พร้อมในด้านต่าง ๆ เช่น
ความขาดแคลนบุคลากร
ระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่
จึงควรเพิ่มอัตรากำลังนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ที่ได้รับการอบรมสามารถเข้าใจจิตใจเด็กหรือเยาวชน
เปิดโอกาสให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์โดยให้เป็นนักสังคมสงเคราะห์ในชุมชนที่เด็กอาศัยอยู่ หรือนักสังคมสงเคราะห์เจ้าของเรื่อง ช่วยกันสืบเสาะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชน ตลอดจนเวลาปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการ นักจิตวิทยา
หรือสังคมสงเคราะห์
โดยให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ร่วมในการสอบปากคำจะทำให้การปฏิบัติหน้าที่
ในส่วนของพนักงานอัยการ และนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์สามารถดำเนินการได้ในเวลาราชการ
ไม่ก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่
ข้อเสนอแนะนี้
จะช่วยให้เจตนารมณ์ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวการคุ้มครองเด็กและเยาวชนโดยกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นการปกป้อง คุ้มครอง แก้ไข ฟื้นฟู ให้กลับคืนสู่สังคมได้ และยังเสริมสร้างเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพต่อไป
ดังนั้นทุกหน่วยงานจึงควรมีส่วนร่วมในการดำเนินการเพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนโดยให้ได้รับสิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. 2550
บรรณานุกรม
หนังสือ
กุลพล พลวัน.
การบริหารกระบวนการยุติธรรม: กรุงเทพมหานคร สำนักพิมพ์
นิติธรรม , 2544.
กุลพล พลวัน.
พัฒนาการสิทธิมนุษยชน กรุงเทพมหานคร
บริษัท สำนักพิมพ์วิญญูชน จำกัด,
2538.
จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ และคณะ .รายงานการทบทวนองค์ความรู้เรื่อง
เด็ก เยาวชนและครอบครัวในประเทศไทยและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการวิจัย : กรุงเทพมหานคร
สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) , 2541.
สรรพสิทธิ์
คุมพ์ประพันธ์ , “คำอธิบายเบื้องต้นเกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ, เอกสารประกอบการสัมมนา
โครงการทนายความอาสาสมัครเข้าฟังการถามคำให้การผู้ต้องหาที่มีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา
เสนอที่โรงแรมดิเอ็มเมอรัล , 1 กันยายน 2543.
เอกสารอื่น ๆ
จรัญ
ภักดีธนากุล . วารสารกฎหมายธุรกิจบัณฑิต ,ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2546.
ณรงค์เดช
เดชคุ้ม. “มาตรการคุ้มครองทางกฎหมายต่อเด็กและเยาวชนผู้ได้รับความเสียหายจากการเสนอข่าวอาชญากรรมของหนังสือพิมพ์ไทย
: ศึกษากรณีเด็กและเยาวชนเป็นผู้เสียหายในคดี”
การศึกษาอิสระนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2546 .
บันทึกข้อความของกรมตำรวจ
ที่ 0608.5/2545 เรื่อง
กำชับการปฏิบัติและซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการแถลงข่าวและเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน
ลงวันที่ 19 พฤษภาคม 2531.
ณรงค์ ใจหาญ. “บทบาทของนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์ในการร่วมสอบปากคำเด็กในคดีอาญา”
คู่มือประกอบการฝึกอบรมการสอบปากคำและสืบพยานเด็ก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุข.
วันชัย
รุจนวงศ์ สิทธิเด็ก http : www.djop.moj.go.th/arti.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น